วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

นายหลวง กับ เศรษฐกิจพอเพียง














เศรษฐกิจพอเพียง คืออะไร sufficiencyeconomy.org
“เศรษฐกิจพอเพียง” (Sufficiency Economy) เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดรวมถึงการพัฒนาและบริหารประเทศ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ทางสายกลาง คำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจ และการกระทำ
อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจที่หลากหลายและไม่ชัดเจน ถึงความหมายและหลักแนวคิดที่แท้จริงของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จึงได้จัดทำหนังสือ “เศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร” ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะอธิบายความหมายของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งกรอบแนวคิดของหลักปรัชญาฯ ที่มุ่งเน้นความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา อันมีคุณลักษณะ ที่สำคัญ คือ สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับ ตลอดจนได้อธิบายคำนิยามของความพอเพียง ที่ประกอบด้วย ความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ภายใต้เงื่อนไขของการตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมที่ต้องอาศัยเงื่อนไขความรู้และเงื่อนไขคุณธรรม
นอกจากนี้ ภายในหนังสือเล่มนี้ยังได้กล่าวถึง ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาภาคเกษตรอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และเป็นตัวอย่างการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม โดยแบ่งได้เป็นแบบพื้นฐานกับแบบก้าวหน้า ซึ่งมีอยู่ ๓ ขั้น และในตอนท้ายของหนังสือยังได้สรุปถึงการสร้างขบวนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงที่ สศช. ได้ริเริ่มดำเนินการเพื่อเป็นการเสริมสร้างให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาไปได้อย่างมั่นคงภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และนำไปสู่ความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนชาวไทย
“เศรษฐกิจพอเพียง” กับคำว่า “ประหยัด” การอยู่อย่างประหยัดมิได้ทำให้คุณภาพชีวิตลดลง หรือสร้างความลำบากให้กับการใช้ชีวิตประจำวันของใคร ตรงกันข้าม ความประหยัดกลับเป็นรากฐานสำคัญอันจะผลักดันให้คนและประเทศ มีทิศทางการพัฒนาไปอย่างมีประสิทธิภาพ

20 วิธีลดโลกร้อน

20 วิธีหยุดโลกร้อนไม่ว่าใครก็สามารถช่วยลดความร้อนให้กับโลกได้ตั้ง 80 ช่องทาง...ประชาชนทั่วไป
1.ลดการใช้พลังงานในบ้านด้วยการปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ได้ใช้งาน จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้นับ 1 พันปอนด์ต่อปี
2.ลดการสูญเสียพลังงานในโหมดสแตนด์บาย เครื่องเสียงระบบไฮไฟ โทรทัศน์ เครื่องบันทึกวิดีโอ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและอุปกรณ์พ่วงต่างๆ ที่ติดมาด้วยการดึงปลั๊กออก หรือใช้ปลั๊กเสียบพ่วงที่ตัดไฟด้วยตัวเอง
3.เปลี่ยนหลอดไฟ เป็นหลอดไฟประหยัดพลังงานแบบขดที่เรียกว่า Compact Fluorescent Lightbulb (CFL) เพราะจะกินไฟเพียง 1 ใน 4 ของหลอดไฟเดิม และมีอายุการใช้งานได้นานกว่าหลายปีมาก
4.เปลี่ยนไปใช้ไฟแบบหลอด LED จะได้ไฟที่สว่างกว่าและประหยัดกว่าหลอดปกติ 40% สามารถหาซื้อหลอดไฟ LED ที่ใช้สำหรับโคมไฟตั้งโต๊ะและตั้งพื้นได้ด้วย จะเหมาะกับการใช้งานที่ต้องการให้มีแสงสว่างส่องทาง เช่น ริมถนนหน้าบ้าน การเปลี่ยนหลอดไฟจากหลอดไส้จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี
5.ช่วยกันออกความเห็นหรือรณรงค์ให้รัฐบาลพิจารณาข้อดีข้อเสียของการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนกับภาคการผลิต ตามอัตราการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิลรูปแบบต่างๆ หรือการใช้ก๊าซโซลีน เป็นรูปแบบการใช้ภาษีทางตรงที่เชื่อว่า หากโรงงานต้องจ่ายค่าภาษีแพงขึ้นก็จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวนการผลิตลง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการปล่อย CO2 ลงได้ประมาณ 5%
6.ขับรถยนต์ส่วนตัวให้น้อยลง ด้วยการปั่นจักรยาน ใช้รถโดยสารประจำทาง หรือใช้การเดินแทนเมื่อต้องไปทำกิจกรรมหรือธุระใกล้ๆ บ้าน เพราะการขับรถยนต์น้อยลง หมายถึงการใช้น้ำมันลดลง และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย เพราะน้ำมันทุกๆ แกลลอนที่ประหยัดได้ จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 20 ปอนด์
7.ไปร่วมกันประหยัดน้ำมันแบบ Car Pool นัดเพื่อนร่วมงานที่มีบ้านอาศัยใกล้ๆ นั่งรถยนต์ไปทำงานด้วยกัน ช่วยประหยัดน้ำมัน และยังเป็นการลดจำนวนรถติดบนถนน ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทางอ้อมด้วย
8.จัดเส้นทางรถรับส่งพนักงาน ถ้าในหน่วยงานมีพนักงานจำนวนมากอาศัยอยู่ในเส้นทางใกล้ๆ กัน ควรมีสวัสดิการจัดหารถรับส่งพนักงานตามเส้นทางสำคัญๆ เป็น Car Pool ระดับองค์กร
9.เปิดหน้าต่างรับลมแทนเปิดเครื่องปรับอากาศ ลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้ไฟฟ้าเพื่อเปิดเครื่องปรับอากาศ
10.มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น ป้ายฉลากเขียว ประหยัดไฟเบอร์ 5 มาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพราะการจะได้ใบรับรองนั้น จะต้องมีการประเมินสินค้าตั้งแต่เริ่มต้นหาวัตถุดิบ
11.ไปตลาดสดแทนซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง ซื้อผัก ผลไม้ หมู ไก่ ปลา ในตลาดสดใกล้บ้าน แทนการช็อปปิ้งในซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง ที่อาหารสดทุกอย่างมีการ***บห่อด้วยพลาสติกและโฟม ทำให้เกิดขยะจำนวนมาก
12.เลือกซื้อเลือกใช้ เมื่อต้องซื้อรถยนต์ใช้ในบ้าน หรือรถยนต์ประจำสำนักงานก็หันมาเลือกซื้อรถประหยัดพลังงาน รวมทั้งเลือกอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟ ทั้งในบ้านและอาคารสำนักงาน
13.เลือกซื้อรถยนต์ที่มีขนาดตามความจำเป็น โดยพิจารณาจากขนาดครอบครัวและประโยชน์การใช้งาน รวมทั้งพิจารณารุ่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพื่อเปรียบเทียบราคา
14.ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเลือกรถโฟว์วีลขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ เพราะกินน้ำมันมาก และตะแกรงขนสัมภาระบนหลังคารถก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะเป็นการเพิ่มน้ำหนักรถให้เปลืองน้ำมัน
15.ขับรถอย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะทางไกลการขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะช่วยลดการใช้น้ำมันลงได้ 20% หรือคิดเป็นปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดได้ 1 ตันต่อรถยนต์แต่ละคันที่ใช้งานราว 3 หมื่นกิโลเมตรต่อปี
16.ขับรถเที่ยวไปลดคาร์บอนไดออกไซด์ไปพร้อมกัน เพราะมีบริษัทเช่ารถใหญ่ๆ 2-3 รายมีรถรุ่นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ใช้เอทานอล หรือน้ำมันเชื้อเพลิงทางเลือกอื่นๆ ด้วย ลองสอบถามบริษัทรถเช่าเมื่อเดินทางไปถึง
17.เลือกใช้บริการโรงแรมที่มีสัญลักษณ์สิ่งแวดล้อม เช่น มีมาตรการประหยัดน้ำ ประหยัดพลังงาน และมีระบบจัดการของเสีย มองหาป้ายสัญลักษณ์ เช่น โรงแรมใบไม้สีเขียว มาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพ
18 เช็กลมยาง การขับรถที่ยางลมมีน้อยอาจทำให้เปลืองน้ำมันได้ถึง 3% จากภาวะปกติ
19.เปลี่ยนมาใช้พลังงานชีวภาพ เช่น ไบโอดีเซล เอทานอล ให้มากขึ้น
20 โละทิ้งตู้เย็นรุ่นเก่า ตู้เย็นที่ผลิตเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เพราะใช้ไฟฟ้ามากเป็น 2 เท่าของตู้เย็นสมัยใหม่ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งช่วยประหยัดค่าไฟลงได้มาก และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 100 กิโลกรัมต่อ

ภาวะโลกร้อน (Global Warming)


ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก ค่ะ (Greenhouse gases)
ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ค่ะ
แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี
ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน
ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง


เพื่อน*****คอย.....

คอยเตือน ยามเพื่อนพลั้ง
คอยฟัง ยามเพื่อนขอ
คอยรอ ยามเพื่อนสาย
คอยพาย ยามเพื่อนพักคอยทัก ยามเพื่อนทุกข์
คอยปลุก ยามเพื่อนท้อ
คอยง้อ ยามเพื่อนงอน
คอยสอน ยามเพื่อนผิดคอยสะกิด
ยามเพื่อนเผลอ คอยเจอ ยามเพื่อนหาคอยลา ยามเพื่อนกลับ
คอยปรับ ยามเพื่อนเปลี่ยน
คอยเรียน ยามเพื่อนเที่ยว
คอยเคี่ยว ยามเพื่อนเล่น
คอยเย็น ยามเพื่อนร้อน
คอยหอน ยามเพื่อนเห่า
คอยเฝ้า ยามเพื่อนฟุบ
คอยอุบ ยามเพื่อนปิด
คอยคิด ยามเพื่อนถาม
คอยปราม ยามเพื่อนหลง
คอยปลง ยามเพื่อนแกล้ง
คอยแบ่ง ยามเพื่อนหมด
คอยอด ยามเพื่อนทาน
คอยคาน ยามเพื่อนล้ม
คอยชม ยามเพื่อนชนะ
คอยสละ ยามเพื่อนชอบแล้ว
เพื่อน ในความหมายของคุณล่ะ....เป็นแบบนี้มั๊ยอย่าลืมให้ความสำคัญกับคนที่คุณเรียกว่า เพื่อน นะ โดยเฉพาะถ้าเค้าคือ เพื่อน จริงๆ... เธอทุกข์ - ฉันทุกข์ เธอสุข – ฉันสุข...

เพื่อน..........

มันมีเหตุผลหลายอย่าง
ที่เราจำเป็นต้องหักห้ามใจไม่ให้รักใครสักคน เ
หตุผลของคนเราย่อมไม่เหมือนกัน
บางคนอาจต้องห้ามใจเพราะรู้ตัวว่ามันคงเป็นไปไม่ได้
บางคนอาจต้องห้ามใจ
เพราะกลัวใจตัวเองจะถลำลึกและเจ็บปวดมากไปกว่านี้
บางคนอาจต้องห้ามใจเพราะมีคนที่รักคนที่เรารักมาก่อน
และคนคนนั้นก็คือคนที่เรารู้จักและเราก็ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของคนคนนั้น
บางคนอาจต้องห้ามใจเพราะเขาอาจไม่ได้คิดและรู้สึกเหมือนกับเรา
ทุกข์ทรมานแค่ไหนที่เรารักเขา
แต่ต้องพยายามฝืนใจถอยห่างออกมา เราต้องเงียบ ต้องเฉยชา ต้องเลี่ยง ต้องหลบหน้า
ต้องทำหน้าตาบึ้งตึงใส่ เพื่อจะย้ำเตือนให้ตัวเองไม่ต้องรู้สึกอะไรใดๆ กับเขามันเจ็บแทบบ้าที่ต้องทำร้ายตัวเองด้วยวิธีการนี้
แม้จะดูเป็นวิธีการโง่ๆ
แต่หากจำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องตัวเอง
เพื่อไม่ให้ใจของตัวเองต้องบาดเจ็บ
ความหวัง เป็นเหมือนกำลังใจแต่มันก็จะไม่สมหวังเช่นกัน
ถ้ามัวแต่หวังอยู่อย่างนั้นแต่ก็ใช่ว่า เมื่อก้าวเดินตามฝัน หรือทำตามความหวังแล้วมันจะสำเร็จตามที่ใจต้องการเสมอไป
สำหรับบางอย่าง
มันก็ต้องเผื่อใจไว้บ้างมันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น
มันอาจจะไม่เป็นอย่างนี้อย่างที่เราต้องการให้มันเป็น

องค์กรนาซ่าบอกว่า...

องค์กรนาซ่าบอกว่า...จะโคจรเข้า มาใกล้มาๆและมันจะโคจรเข้าเป็นเส้นตรงพอดีในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 (ช่วงจบกึ่งกลางพุทธกาลพอดี) ก็คือ ดวงอาทิตย์ โลก และนิบิรุ อยู่ในระนาบเดียวกันพอดี วันนั้นจะเป็นวันวิบัติซึ่งจะมีผลดังนี้1.สร้างความปั่นป่วนให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้า2.น้ำจะขึ้นสูงมากๆจนเกิดวิกฤติการ์ที่เรียกว่า น้ำท่วมโลกหรือซุปเปอร์ซึนามิ3.แผ่นดินไหวและภูเขาไฟไปทั่วโลก4.ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)5.การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ6.ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก7.สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ ่มปริมาณถึงระดับอันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้8.กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใ กล้โลกได้ง่ายขึ้น9.แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม (มนุษย์น่าจะกระโดดได้สูงขึ้นกว่าเดิม)ไม่หมดเพียงเท่านี้ หลังจากเหตุการณ์นี้ไม่กี่เดือน เราจะเจอพายุสุริยะเข้าอย่างจัง ซึ่งอย่างที่รู้ๆกันว่า สนามแม่เหล็กโลกช่วยป้องกันไม่ให้มันมีผลกระทบมากนัก เมื่อไม่มีก็วิบัติ มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือชนเผ่ามายาหรือมายันนี่เอง พวกเขาได้ทำปฏิทินไว้สองแบบก็คือแบบที่หนึ่ง สามารถเทียบเคียงได้กับปฏิทินจริงที่เราใช้กันในปัจจุบัน และมีความคลาดเคลื่อนกันน้อยมากแบบที่สอง คือปฏิทินที่ข้างบนๆได้กล่าวไว้ (หมายถึงมีถึงแค่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012)เรื่องราวต่างเป็นที่รู้ดีกันนานแล้วในวงการแต่เรื่องผลกระทบต่างๆเป็นแค่การคาดการ์ณลาวงหน้าเท่านั้น.....แต่ที่แน่ๆเรามีภาพเหตุการ์ณนั้นมาให้ดูว่าจะเกิดเหตุการณ์ประมาณไหนในปี 2012 เขาทำมาเป็นหนังทุนสร้างสูงเรื่องยิ่งใหญ่เรื่อง
2012-สุดยอดมหาภัยพิบัติโลก
ที่มา : 2012 วันสิ้นโลก..เรื่องจริงอิงจากนักดาราศาสตร์

2012 วันสิ้นโลก..เรื่องจริงอิงจากนักดาราศาสตร์



ด้วยความสงสัยของผมว่าทำไม 2012 จะมีข่าวลือเกี่ยวกับวันสิ้นโลกมากมายเหลือเกินบางแหล่งก็อ้างน้ำท่วมจาเหตุโลกร้อนบางแหล่งก็อ้างไบเบิ้ลเพราะพระเจ้ากำหนดมาแต่มีสิ่งที่นึงที่มีทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พร้อมเกี่ยวปรากฎการณ์ที่อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้และถ้าเกิดขึ้นก็จบ... ไม่เหมือนกับ LHC ที่กลัวโอกาสว่าจะเกิดหรือเปล่าเท่านั้นเรื่องนี้คือเรื่อง ดาวปริศานาดวงที่ 12 ของ ระบบสุริยะจักรวาลถ้าใครได้พอดูความปี 2002 จะได้ทราบว่า นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ ดาวดวงที่ 12 ขึ้นมาอยู่ในระบบกาแล็คซี่เราดื้อๆแต่ความเป็นจริงนักดาราศาสตร์รู้จักดาวนี้มาตั้งแต่ปี 1982 แล้วซึ่งเป็นข่าวใหญ่โตมากช่วงเดือน พฤษภาคม เพราะผมก็ได้ดูเหมือนกันมันคือดาวที่มีชื่อตั้งทางวิทยาศาตร์ว่า นิบิรุ (Nibiru)








และด้วยหลักฐานโบราณวัตถุและนักโบราณคดีได้กล่าวไว้เนืองๆ ว่า...สิ่งของที่ไม่สามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้เกิดจากดาวดวงนี้แต่สิ่งที่เรารับรู้คือเจอดาวเคราห์ดวงใหม่ แล้วก็จบ...ทำไมถึงกล่าวอ้างเช่นนั้น?ิสิ่งที่เราไม่รู้มันคือสิ่งนี้ครับ....ดาวดวงนี้ทุนเดิมไม่ได้อยู่ในระบบกาแล็คซี่ทางช้างเผือกมาแต่เนิ่นๆ อยู่แล้วแต่... มีวงโคจรกว้างใหญ่ไพศาลมาก จนมาทับซ้อนลงบนกาแล็คซี่นี้แปลว่า... ที่นักวิทยาศาสตร์เห็นเพิ่มมาดวงก็แปลว่ามันโคจรเข้ามาใกล้กาแล็คซี่เราสินะถูกครึ่งเดียวครับ ความจริงมันเเข้ามาทับวงโคจรทั้งแถบเลย



แด่.....เพื่อน

วันแรกดูแปลกหน้าไม่น่าคบ
วันที่สองเริ่มประสบพอคบได้
วันต่อมาเริ่มสนิทเป็นมิตรสหาย
เป็นเพื่อนตายเพื่อนแท้ตลอดไป
แต่วันนี้ถึงเวลาที่สำคัญ
ที่เรานั้นต้องจากกันไปทางใหม่
ขอให้เราได้สัญญาจากหัวใจ
ว่า.....จากไปแต่มิตรแท้ไม่ลืมเลือน

ไขปริศนา 2012 วันสิ้นโลก .. จากปฏิทินมายา


นักวิชาการ และ คนทั่วไปให้ความสนใจต่อคำทำนายเกี่ยวกับ วันสิ้นโลก ในปี คศ.2012 จากปริศนาของอารยธรรมโบราณมายา ณ ดินแดนโลกใหม่ ท่ามกลางป่าฝนของทวีปอเมริกากลาง ความเชื่อของผู้คนว่าโลกจะเข้าสู่กลียุค ในที่สุดจะถูกทำลายล้างด้วยลูกไฟประลัยกัลป์ อุทกภัยครั้งใหญ่ และ ภัยพิบัติซึ่งจะมาเยือนในรูปแบบอันน่าหวาดกลัวยากที่จะคาดเดาในปี 2012 .. ทำไมต้องเป็นอีก 3 ปีนับจากนี้ มีสมมุติฐานมาจากปฏิทินมายาโบราณ ปฏิทินของชาวมายาบันทึกไว้บนแผ่นหินแบ่งเป็นวงรอบทุกๆ 52 ปีเช่นกัน 1 วงรอบใหญ่มี 13 บาคตัน กินเวลา 5,200 ปี (13X400 = 5,200 ปี) เมื่อนักวิชาการสามารถเทียบวันที่ในปฏิทินมายาเข้ากับปฏิทินสากลจึงทราบว่าคือ 8 กันยายน 3114 ปีก่อนคริสตกาล และ จะดำเนินไปสู่บาคตันที่ 13 ในวันที่ 23 ธันวาคม 2012 หลายคนอาจเชื่อว่าปฏิทินมายาหมดเวลาลงในปี 2012 หมายถึงชาวมายาโบราณทำนายว่าโลกจะพบจุดจบในปี 2012 นี้ด้วย จารึกคำทำนายปี 2012 ปรากฏอยู่บนอนุสาวรีย์หมายเลข 6 แห่งเมืองทอร์ทูกัวโร ถอดข้อความได้ว่าเป็นเวลานาน 2 วัน 9 เดือน 3 ปี 8 คาตัน 3 บาคตัน ก่อนที่จะครบ 13 บาคตัน(เทียบได้กับวันที่ 23 ธันวาคม 2012) จะเกิดความมืดมิด เมื่อองค์เทพเจ้าแห่งการทำลายล้างลงมาประทับที่ .. ?


แผ่นหินบางส่วนแตกหัก จารึกไม่สมบูรณ์ จึงไม่น่าใช่วันอวสานโลก *รายละเอียดเพิ่มเติม นสพ.ไทยรัฐ 8 พย. 52 และ ต่วยตูนพิเศษ ปีที่ 35 ฉบับที่ 417 พย. 52

พม่าสังเวย"นาร์กีส"เฉียด 4พันคน

พม่าสังเวย"นาร์กีส"เฉียด 4พันคน
สลด! ยอดผู้เสียชีวิตในพม่าจากเหตุพายุ "นาร์กีส" ถล่ม พุ่งกระฉูดเฉียด 4,000 รายแล้ว สูญหายอีกกว่า 2,000 คน ปชช.อีกเกือบแสนไร้ที่อยู่-ขาดแคลนน้ำดื่ม สถานีโทรทัศน์เอ็มอาร์ทีวีของรัฐบาลพม่า รายงานข่าวภาคค่ำ ยืนยันว่า จำนวนผู้เสียชีวิต 3,934 คน บาดเจ็บ 41 คน และ 2,879 คนสูญหายในพื้นที่กรุงย่างกุ้งและเขตอิรวดี ประชาชนอีกนับแสนคนไร้ที่อยู่อาศัยและขาดแคลนน้ำดื่ม
ก่อนหน้านี้มีรายงานอย่างเป็นทางการว่า ยอดผู้เสียชีวิตมีราว 351 คน แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เพราะยังมีพื้นที่ห่างไกลอีกหลายแห่งที่ขาดการติดต่อ ขณะที่ราคาอาหารและเชื้อเพลิงปรับตัวสูงขึ้นในกรุงย่างกุ้ง ขณะที่หน่วยงานความช่วยเหลือจากนานาชาติรีบจัดส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ฉุกเฉิน และพยายามประเมินความเสียหาย. - - > นสพ.เดลินิวส์ 5 พค.51
ความคืบหน้าพายุไซโคลน “นาร์กีส” ที่ซัดถล่มพม่า แถบสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดีรวมทั้งเมืองย่างกุ้ง เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 2 พ.ค. และสถานีโทรทัศน์ของพม่า ได้รายงานเมื่อวันที่ 6 พ.ค. อ้างคำแถลงของนายเนียน วิน รมว.ต่างประเทศพม่า ที่ระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากพายุ “นาร์กีส” ซึ่งมีความรุนแรงระดับ 3 พุ่งขึ้นเป็นอย่างน้อย 15,000 คน สูญหายอีกกว่า 30,000 คน เฉพาะเมืองโบกาเลย์แห่งเดียวมีเหยื่อสังเวยไซโคลนกว่า 10,000 คน บ้านเรือนพังราบเป็นหน้ากลองถึง 95% มีพื้นที่ถูกประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ 5 รัฐ ซึ่งมีประชากรอยู่รวมกัน 24 ล้านคน ต่อมาในช่วงค่ำวันที่ 6 พ.ค. สถานีโทรทัศน์พม่ารายงานยอดผู้เสียชีวิตว่า เพิ่มขึ้นเป็น 22,464 คนและยอดผู้สูญหายเป็น 41,000 คน ซึ่งนายเนียน วิน เผยว่า รัฐบาลกำลังประเมินความเสียหาย ในหมู่บ้านห่างไกลอีกหลายแห่งและได้ร้องขอความช่วยเหลือเร่งด่วนจากนานาประเทศ อ่านต่อ >>

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 12 พ.ค. เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในพื้นที่มณฑลเสฉวน ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เมื่อเวลา 14.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือเวลา 13.30 น. วันเดียวกันตามเวลาประเทศไทย ขนาดแรงสั่นสะเทือนวัดได้ 7.8 ริกเตอร์ จุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือนอยู่ลึกใต้ดิน 29 กม. และห่างจากเมืองเฉิงตู เมืองเอกของมณฑลเสฉวน ขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 92 กม. แรงสั่นสะเทือนลามไปไกลถึงนครเซี่ยงไฮ้ ทางภาคตะวันออก ทำให้ตึกจินเหมา อาคารสูงที่สุดของประเทศ สั่นไหวโงนเงน จนต้องมีการอพยพผู้คนลงจากตึกอย่างฉุกละหุก แต่ไม่มีรายงานความเสียหายรุนแรง
ทั้งนี้ เมืองเฉิงตูอยู่ห่างกรุงปักกิ่งไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 1,300 กม. ถือเป็นเมืองที่มีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดเมืองหนึ่งของจีน ประชากรมากราว 12 ล้านคน ทั้งยังเป็นสถานที่ตั้งของศูนย์วิจัยและเพาะพันธุ์หมีแพนด้า ตลอดจนเป็นที่ตั้งของเขื่อนสามหุบผา โครงการเขื่อนขนาดยักษ์ ซึ่งอยู่ห่างจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวหลายร้อยกิโลเมตร อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานความเสียหายต่อโครงสร้างภายนอกของเขื่อนสามหุบผา แต่ผู้เชี่ยวชาญต้องสั่งเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบโครงสร้างเขื่อนอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ขณะที่นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า เดินทางโดยเครื่องบินไปตรวจสภาพพื้นที่เมืองเฉิงตูหลังเกิดแผ่นดินไหวทันที โดยมีรายงานจากผู้คนในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของมณฑลเสฉวนระบุ แผ่นดินไหวรุนแรงขนาดทำให้เครื่องปรับอากาศหลุดร่วงจากกำแพง เจ้าหน้าที่ รพ.ต้องอพยพผู้ป่วยออกจากอาคารโรงพยาบาล มาอยู่ตามที่โล่งแจ้ง ขณะที่กระจกอาคารและสัญญาณไฟจราจรตามท้องถนน ร่วงหล่นแตกเสียหาย

ดินไหว-หนีตาย ไทยหนัก เขย่าตึกกรุงสั่น [17 พ.ค. 50 - 03:35]

ดินไหว-หนีตาย ไทยหนัก เขย่าตึกกรุงสั่น [17 พ.ค. 50 - 03:35]
เหตุการณ์ระทึกขวัญแผ่นดินไหวรุนแรง รับรู้ ความสั่นสะเทือนได้ในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ รวมทั้งตามตึกสูงหลายแห่งในกรุงเทพมหานครครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. วันที่ 16 พ.ค. สร้างความแตกตื่นตกใจให้กับผู้คนที่รับรู้ถึงความสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะผู้คนตามตึกสูงใจกลางกรุงถึงกับต้องรีบหนีออกมาจากอาคารกันโกลาหล ทั้งนี้ นายศุภฤกษ์ ตันศรีรัตนวงศ์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า แผ่นดินไหวค่อนข้างแรง วัดแรงสั่นสะเทือนถึง 6.1 ริกเตอร์ มีความลึกลงในพื้นดิน 33 กม. มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ชายแดนประเทศพม่ากับลาว ห่างจาก จ.เชียงราย 95 กม. หรือละติจูดที่ 21.1 องศาเหนือ ลองจิจูดที่ 100.3 องศาตะวันออก จังหวัดที่ได้รับผลกระทบคือ จ.เชียงราย เชียงใหม่ แพร่ น่าน แต่ยังไม่ได้รับรายงานความเสียหาย ส่วนกรุงเทพฯมีธรรมชาติของดินเป็นดินอ่อนทำให้รู้สึกสั่นสะเทือนได้ง่ายถ้าอยู่ในอาคารสูง และอาจจะเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนตามต่างจังหวัดในภาคอื่นๆอาจจะไม่ รู้สึกเพราะไม่ค่อยมีอาคารสูง สำหรับจุดที่อาจเกิดแผ่นดิน ไหวจะมีรอยเลื่อนที่ จ.ตาก กาญจนบุรี ระนอง และสุราษฎร์ธานี

ปศุสัตว์แคลิฟอร์เนียล้มตายเป็นใบไม้ร่วงจากคลื่นความร้อน

ปศุสัตว์แคลิฟอร์เนียล้มตายเป็นใบไม้ร่วงจากคลื่นความร้อน
ลอสแองเจลิส 28 ก.ค. - คลื่นความร้อนที่ปกคลุมมลรัฐแคลิฟอร์เนียส่งผลให้อุณหภูมิในหลายพื้นที่พุ่งสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกิจการปศุสัตว์
รายงานจากกลุ่มผลิตภัณฑ์นม ระบุว่า ฟาร์มเลี้ยงวัวนมในบริเวณภาคกลางของรัฐ ประมาณการว่ามีวัวไม่น้อยกว่า 25,000 ตัวจากจำนวนกว่า 2.5 ล้านตัวที่เลี้ยงในพื้นที่ดังกล่าวตายจากความร้อนที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่เมื่กลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
โดยโฆษกกลุ่มผลิตภัณฑ์นมแคลิฟอร์เนียเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ความเสียหายในระยะยาวจะปรากฏในอีก 9 เดือนข้างหน้า นอกเหนือจากการขาดแคลนนมป้อนโรงงานแล้ว วัวจะงดการผสมพันธุ์ในสภาพอากาศร้อน สร้างความเสียหายเพิ่มเติมให้แก่เจ้าของกิจการที่ปัจจุบันราคาน้ำนมดิบลดลงสวนทางกับต้นทุนการผลิตอื่นไม่ว่าจะอาหารหรือน้ำมันเชื้อเพลิง
ส่วนกิจการฟาร์มไก่และไก่งวงก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง มีรายงานว่าสัตว์ปีกในฟาร์มขนาดเล็กที่ไม่สามารถสร้างโรงเรือนปรับอากาศให้แก่สัตว์ปีกในฟาร์มทันท่วงทีต้องเสียไก่และไก่งวงจากคลื่นความร้อนไปไม่น้อยกว่า 700,000 ตัว ในช่วงเวลาเพียงสัปดาห์เดียว. สำนักข่าวไทย
คลื่นความร้อนในแคลิฟอร์เนียทำคนตายแล้วไม่ต่ำกว่า 70 คนลอสแองเจลิส 27 ก.ค.-
เจ้าหน้าที่รัฐแคลิฟอร์เนียในสหรัฐเผยว่า คลื่นความร้อนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์น่าจะทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 70 คน ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบยืนยันตัวเลขที่ได้รับแจ้งว่ามีผู้เสียชีวิตแล้ว 71 คนนับตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคมผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในเขตหุบเขาตอนกลางระหว่างนครซานฟรานซิสโก และนครลอสแองเจลิส เชื่อว่าเสียชีวิตจากความร้อนหรือคลื่นความร้อน นอกจากนี้ยังพบศพผู้ลอบเข้าเมือง 3 คนที่เสียชีวิตบริเวณชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก ทางใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย คาดว่าเสียชีวิตเพราะภาวะขาดน้ำ ขณะที่กงสุลเม็กซิโกและเจ้าหน้าที่ลาตระเวนชายแดนแจ้งว่า พบศพ 4 ศพที่คาดว่าเสียชีวิตเพราะอากาศร้อนจัดบริษัทไฟฟ้าแคลิฟอร์เนียคาดว่าสถานการณ์การใช้ไฟฟ้าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในวันพุธตามเวลาท้องถิ่นเนื่องจากคลื่นความร้อนเริ่มบรรเทาลง โดยเมื่อช่วงต้นสัปดาห์มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากการเปิดใช้เครื่องปรับอากาศอย่างมากจนต้องลดการจ่ายกระแสไฟฟ้า อย่างไรก็ดี อุณหภูมิที่เมืองซาคราเมนโตเมืองเอกของรัฐซึ่งอยู่ในหุบเขาตอนกลางสูงถึง 40 องศาเซลเซียสเมื่อวันพุธตามเวลาท้องถิ่น นับเป็นวันที่ 11 แล้วที่อุณหภูมิสูงเกิน 38 องศาเซลเซียส ส่วนที่นครลอสแองเจลิสอุณหภูมิอยู่ที่ 38 องศาเซลเซียส หลังจากบางพื้นที่อุณหภูมิทะลุ 48 องศาเซลเซียสเมื่อวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น พยากรณ์อากาศคาดว่าอุณหภูมิจะลดลงไปจนถึงสุดสัปดาห์นี้และยังไม่มีการประกาศเตือนภัยเรื่องการใช้ไฟฟ้าครั้งใหม่ขณะเดียวกัน ทางตะวันออกของเมืองซานดิเอโก เจ้าหน้าที่ดับเพลิง 1,400นายยังคงพยายามสกัดไฟป่าที่ไหม้มาตั้งแต่วันอาทิตย์และโหมลุกไหม้หนักขึ้นเพราะสภาพอากาศร้อนและลมแรง นอกจากนี้ยังเกิดเพลิงไหม้ที่เนินเขาใกล้เบฟเวอรีฮิลล์ย่านที่พักอาศัยของบรรดาดาราฮอลลีวูดเมื่อวันอังคารมีบ้านหลังหนึ่งถูกเพลิงไหม้เสียหาย.-สำนักข่าวไทย

เผยทฤษฎีสมคบคิด " สึนามิ "

สำนักข่าวเอเอฟพี.รายงานเมื่อวันพฤหัสบดี 6 มค.2548 ว่าทุกครั้งที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญชาวโลก จะต้องมีทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดแปลกๆที่เผยเบื้องลึกเบื้องหลังของเหตุการณ์เหล่านั้นติดตามมาไม่ว่าจะเป็น การลอบสังหารอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี การสิ้นพระชนม์ของ เจ้าหญิงไดอานา ตลอดจนวินาศกรรม 11 กย.ในสหรัฐ ซึ่งเหตุการณ์มหันตภัยแผ่นดินไหว และ คลื่นยักษ์สึนามิถล่มเอเชียก็หนีไม่พ้นที่จะเกิดทฤษฎีพิสดารพันลึกตามมาด้วยเช่นกันมาร์ค ไทเล่อร์,ดีไซเน่อร์นั่งดื่มเบียร์อยู่ที่บาร์แห่งหนึ่งในย่านหงานไหบนเกาะฮ่องกงตั้งข้อสังเกตว่า " มีหลายอย่างดูแปลกๆ เช่น เหตุใดสหรัฐถึงส่งเรือรบไปที่เกิดเหตุ และทำไมนายทหารระดับสูงในอิรักจึงไปที่นั่นด้วย รวมถึงเรื่องที่เหตุร้ายในเอเชียเกิดขึ้นในวันที่ 26 ธค. ตรงกับวันครบรอบ 1 ปี แผ่นดินไหวที่เมืองบามในอิหร่านซึ่งคร่าชีวิตคนไปกว่า 30,000 คนพอดิบพอดี ทั้งยังน่าแปลกมากที่ไม่พบความเคลื่อนไหวทางธรณีวิทยาในช่วงก่อนเกิดแผ่นดินไหวแรงถึง 9 ริคเตอร์ บริเวณนอกชายฝั่งเกาะสุมาตราแต่อย่างใด "มิเชล โชสซูโดฟกี้ ตั้งข้อสังเกตว่า " ทำไมฐานทัพสหรัฐบนหมู่เกาะดีเอโก้ กราเซียในมหาสมุทรอินเดียถึงรอดพ้นจากมหันตภัยครั้งนี้แบบไร้รอยขีดข่วน ต่างจากชาวประมงในอินเดีย ศรีลังกา และ ไทย โดยสิ้นเชิง "สุธีร์ จัดดา,นักข่าวอินเดียตั้งข้อสังเกตว่า " มีการติดต่อจากมนุษย์ต่างดาวกับรัฐบาลต่างๆของเอเชียใต้ในช่วงเร็วๆนี้ มีคนพบยูเอฟโอ.ในพื้นที่ประสบเหตุ พร้อมอ้างว่าชาวเกาะนิโคบาร์ของอินเดียบางคนบอกว่า มหันตภัยครั้งนี้เกิดจากมนุษย์ต่างดาวที่พยายามแก้ไขการหมุนของโลกที่แกว่งผิดปกติ หลังเกิดเหตุโลกจึงกลับมาหมุนเป็นปกติ "บรรดานักวิทยาศาสตร์พากันรีบออกโรงโต้ทฤษฎีเหล่านี้ทันที รวมทั้ง ศจ.บาร์ต เบาทิสด้า หัวหน้านักวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันภูเขาไฟวิทยา และธรณีวิทยา ฟิลิปปินส์ เชื่อว่า " มหันตภัยครั้งนี้ได้ความรุนแรงขนาดนี้ต้องใช้พลังงานมหาศาลกว่าพันล้านตัน " -> นสพ.คมชัดลึก 8 มค.254826 ธค.2547 บ็อกซิ่งเดย์ เช้าตรู่วันอาทิตย์พระเจ้าได้ประทานของขวัญคริสต์มาสแทนซาตาคลอสแก่ อภิสิทธิ์ชน และ คนถ่อย เป็นคลื่นสึนามิขนาดยักษ์ถาโถมชายฝั่งเอเชียใต้พินาศราบเรียบเป็นหน้ากลอง มีผู้เสียชีวิตกว่า 165,394 คน(อินโดนิเซีย 113,300 ศรีลังกา 30,615 อินเดีย 15,665 ไทย 5,288 พม่า 59 มัลดีฟส์ 82 มาเลเซีย 68 บังคลาเทศ 2 โซมาเลีย 298 แทนซาเนีย 10 เคนยา 1->นสพ.เดลินิวส์ 9 มค.2548 )โจรห้าร้อยในอาเจะห์อินโดนีเซีย กบฏพยัคฆ์ทมิฬอีแลมในศรีลังกา โจรใส่สูทฟอกเงินหมู่เกาะมัลดีฟส์ คนนอกศาสานาในอินเดีย-มาเลเซีย นายหัว-มาเฟียชายหาดไข่มุกอันดามัน ผู้คน และสรรพสัตว์เคราะห์ร้าย ทุกดวงวิญญาณล้วนอยู่ภายใต้อ้อมกอดของพระองค์เพื่อพิพากษาไปสู่ สรวงสวรรค์ หรือ ขุมนรก ตามแต่ผลกรรมที่เคยกระทำ นอสตราดามุสกล่าวถึง หายนะ ช่วงใกล้ วันโลกาวินาศ ว่า " บุคคลที่มีชีวิตอยู่จะรู้สึกอิจฉาผู้คนที่กำลังล้มตายลงต่อหน้าต่อตา ความเหี้ยจะดำเนินต่อไปอย่างหฤหรรษ์ .. "ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงนี้เป็นแค่ปฐมฤกษ์ซึ่งพระเจ้าส่งสาส์นเตือนให้มนุษย์รู้ว่า ยังไม่สายที่จะเลิกยึดมั่นถือมั่นในทรัพย์สมบัติทางโลก เลิกแก่งแย่งชิงชัง,เข่นฆ่า,เอาเปรียบซึ่งกันและกัน หวนกลับมาทำความดี จรรโลงจิตใจด้วยคุณธรรม

วิกฤติวันสิ้นโลก

วิกฤติวันสิ้นโลก (อังกฤษ: The Day After Tomorrow) เป็นภาพยนตร์อเมริกันที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับหายนะทางธรรมชาติ โดยเนื้อหามีทั้งสิ่งที่เป็นไปได้ตามหลักวิทยาศาสตร์และสิ่งที่แต่งเติมขึ้น โดยเริ่มออกฉายครั้งแรกในเม็กซิโกซิตี ประเทศเม็กซิโก เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2547 และจากนั้นก็ทยอยออกฉายทั่วโลกตั้งแต่วันที่ 26 ถึง 28 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ มีกำหนดฉายในวันที่ 4 และ 5 มิถุนายน ตามลำดับ
แจ็ค ฮอลล์ ศาสตราจารย์ด้านอุตุนิยมวิทยาโบราณและทีมงานได้ทำการขุดเจาะน้ำแข็ง ณ ชั้นน้ำแข็งลาร์เซ่น บี ในทวีปแอนตาร์กติกาเพื่อเก็บตัวอย่าง ทันใดนั้นเอง น้ำแข็งก็เกิดรอยแยกเป็นแนวยาว จนเกือบทำให้เขาต้องสังเวยชีวิต
ในการประชุมสหประชาชาติ ศาสตราจารย์ฮอลล์ออกบรรยายเรื่องสาเหตุว่าทำไมโลกจึงเคยตกอยู่ใน
ยุคน้ำแข็งนานถึงสองศตวรรษ สาเหตุหลักก็คือสภาวะโลกร้อนเมื่อ 10,000 ปีก่อน
ความเข้มข้นของแก็สกรีนเฮ้าส์ในตัวอย่างน้ำแข็งชี้ให้เห็น ซีกโลกทางเหนือมีภูมิอากาศตามกระแสแอตแลนติกเหนือ ความร้อนจาก
เส้นศูนย์สูตรถูกทะเลพัดไอร้อนขึ้นเหนือ และความร้อนยังทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย เกิดความเย็นทำให้กระแสไอร้อนหยุดนิ่ง ทำให้ความอบอุ่นในโลกหมดไป ศาสตราจารย์ฮอลล์พยายามโน้มน้าวให้ประธานาธิบดีหาแผนรับมือ แต่ประธานาธิบดีกลับยกเรื่องเศรษฐกิจมาอ้าง และยังอ้างถึงสนธิสัญญาเกียวโต ศาสตราจารย์ฮอลล์คาดเดาว่า ปรากฏการณ์นี้จะเกิดในรุ่นลูกรุ่นหลานของเขา แต่เขาคาดผิดถนัด อัตราเผาผลาญเชื้อเพลิงมากมายในปัจจุบันทำลายสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดความร้อนและปรากฏการณ์นี้อย่างรวดเร็ว
ไม่นานกรุง
นิวเดลีเกิดหิมะตกและอากาศหนาวที่สุดในรอบปี ศูนย์วิจัยสภาพอากาศเฮดแลนด์ กรุงกลาสโกว์ ประเทศสก็อตแลนด์ พบว่าทุ่นโนแมด 4311 ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบสภาพน้ำริมฝั่งจอร์เจียและกรีนแลนด์ ให้ผลการตรวจสอบว่าน้ำมีอุณหภูมิลดลง 13 องศา ต่อมาเหตุการณ์นี้เกิดกับทุ่นตัวอื่นๆ เฮอริเคนโนลานีโถมสู่ญี่ปุ่น ทำให้เกิดลูกเห็บขนาดใหญ่ตกทำลายบ้านเรือนที่อยู่อาศัยและผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก เครื่องบินเจออากาศแปรปรวน นกบินอพยพ ลอสแอนเจลิสถูกทอร์นาโดหลายลูกถล่มจนเสียหายทั้งเมือง แคนาดามีอากาศไหลเวียนจากอาร์กติกรุนแรงมาก ไซบีเรียโดนร่องกดอากาศต่ำเล่นงาน ออสเตรเลียโดยไต้ฝุ่นถล่มและนิวยอร์กถูกน้ำท่วม ทุกที่เริ่มมีการอพยพผู้คน สถานที่แรกที่เกิดปรากฏการณ์อุณหภูมิลดต่ำเฉียบพลันคือที่สก็อตแลนด์ นักบินคนหนึ่งเครื่องบินตกเพราะน้ำมันในท่อส่งแข็งตัว เขารอดชีวิตจากเครื่องบินตกมาได้แต่กลับเสียชีวิตขณะที่เปิดหน้าต่างออกมาหาอากาศหายใจ ร่างทั้งร่างของเขากลายเป็นน้ำแข็ง
โปรแกรมพยากรณ์อากาศของศาสตราจารย์ฮอลล์เป็นโปรแกรมเดียวเท่านั้นที่สามารถทำนานภูมิอากาศนี้ได้ เขาร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญแขนงอื่น ในที่สุดหลังคำนวณเสร็จ เขาได้พบผลที่น่าตื่นตกใจ
ภายใน 7 - 10 วัน พายุสามลูกจะมารวมตัวกัน โลกซีกบนจะค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็ง อุณหภูมิจะลดต่ำลงเรื่อยๆ จนในที่สุดหากใครสัมผัสกับอากาศข้างนอกจะแข็งตายในทันที ประธานาธิบดีเริ่มแผนอพยพผู้คนมายังซีกโลกใต้ ที่ตั้งของประเทศที่ได้รับการขนานนามว่า “โลกที่ 3” แต่จะอพยพประชาชนได้เฉพาะผู้ที่ไม่อยู่ซีกโลกเหนือมากเท่านั้น เพราะผู้ที่อยู่ซีกโลกเหนือมากจะไม่สามารถออกมาได้ทันการ และจะแข็งตายเสียก่อน ทางที่ดีคืออยู่ในบ้านและทำร่างกายให้อบอุ่นเข้าไว้
แซม ฮอลล์ ลูกชายของแจ็ค ฮอลล์ อยู่ในนิวยอร์กขณะที่น้ำท่วม แซมและเพื่อนๆหนีน้ำมาอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ โชคดีที่หอสมุดนั้นสูงพอที่น้ำท่วมไม่ถึง แซมโทรศัพย์คุยกับแจ็ค และได้รับคำบอกเล่าว่าให้อยู่ในหอสมุดนั้นต่อไป เพราะนิวยอร์ก อยู่เหนือเกินกว่าจะอพยพออกมาทันเสียแล้ว…
แซมและไบรอันนำหนังสือในหอสมุดมาเผาเพื่อให้ความอบอุ่น หาเสบียงจากตู้ขนม เพื่อนสาวของเขา ลอร่า บาดเจ็บจากการหนีน้ำท่วม แซมและเพื่อนๆ ต้องเผชิญกับอันตรายจาก
หมาป่าและความหนาวเย็นในการรักษาชีวิตของลอร่าเอาไว้ ระหว่างนั้นเอง แจ็คและทีมงานสมัครใจออกเดินทางเพื่อมาหาแซม ลูกชายสุดที่รัก แจ็ครู้สึกผิดที่เมื่อก่อนเขาไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกเลย
ในที่สุดความหนาวเย็นก็ลามมาถึงนิวยอร์ก พร้อมๆ กับที่พายุผ่านพ้นไป แซมและเพื่อนรอดชีวิตมาได้ แจ็คเดินทางฝ่าอันตรายมาถึงแม้จะต้องสูญเสียเพื่อนร่วมทางคนหนึ่งไป ในที่สุด พ่อลูกก็ได้พบกันอีกครั้ง
แม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้ชีวิตผู้คนหลากหลายคนดับสูญไป แต่มันก็เป็นบทเรียนอันมีค่า สมดังคำที่ว่า “หากเราไม่ดูแลธรรมชาตินับแต่วันนี้ วันมะรืนนี้ก็คงไม่มีอีกต่อไป…”

วันสิ้นโลก

การ ทำนายนั้นอยู่คู่กับสังคมของเรามานาน โดยเฉพาะการทำนายธรรมชาติ เช่นการดูสีของท้องฟ้า ก้อนเมฆ สายลม ดวงดาว แม้กระทั่งการมองเห็นด้วยจิต ที่สามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและธรรมชาติได้ เหมือนที่เคยฮือฮากันไปเมื่อหลายปีก่อน เมื่อนาย กอร์ดอน (Gordon-Michael Scalion) ชาวอเมริกันที่เคยเสียชีวิตเมื่อปี 1979 แต่ กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็อ้างว่า ได้รับพรสวรรค์ที่หยั่งรู้อนาคต เขามักจะเดินทางไปอยู่บนพื้นที่สูงๆ บนภูเขา แล้วมองลงมาเห็นภาพในอนาคต โดยเฉพาะภาพของเมืองที่เปลี่ยนไป และโลกที่จะเกิดขึ้นมาใหม่
คน ที่เชื่อถือนายกอร์ดอนนั้นมีไม่น้อย เพราะได้เคยฝากผลงานการทำนายที่แม่นยำเอาไว้ เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวในลอส แองเจอริส เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2535, เหตุการณ์แผ่นดินไหวในแคลิฟอร์เนียเมื่อ มกราคม 2537 รวมอีกหลายเหตุการณ์ที่เขาทายไว้แล้วก็ถูกเผง
แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุด ก็เห็นจะเป็นการทำนายเมื่อปี พ.ศ.2521 ซึ่งเขาเห็นตัวเองลอยอยู่เหนืออวกาศ แล้วมองลงมาบนโลก ด้วยภาพแผนที่โลกใหม่ เขาจึงใช้เวลาอยู่ 4 ปี ที่จะร่างแผนที่โลกอนาคตที่เห็นคนเดียวนั้นออกมาสู่สายตาชาวโลก พร้อมทั้งให้คำอธิบายไว้ว่า โลกที่แปรเปลี่ยนไปนี้จะเกิดจากน้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ทำให้ทวีปของโลกเคลื่อนไปหมด และสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1998-2012 หรือ พ.ศ.2541-2555 นั่นเอง
ความเชื่อนี้สอดคล้องกับคำทำนายของอีกหลายคน เช่น นาย ฮูเซลีนโย่ (Juseleeno ) ชาว บราซิล ที่มองเห็นอนาคตล่วงหน้าด้วยตานิมิต สิ่งที่เขาเห็นแบบเดียวกับกอร์ดอนเห็นก็คือ โลกจะพังพินาศด้วยภัยธรรมชาตินานัปการ เป็นต้นว่า ในปี 2551 นี้ ญี่ปุ่นจะเกิดแผ่นดินไหว รวมถึงจีน มีการเสียชีวิตนับล้านคน และจะเกิดการก่อการร้ายครั้งใหญ่ในอเมริกา ปี 2553 ทวีปแอฟริกาจะเกิดภาวะขาดแคลนน้ำอย่างหนัก และปี 2554 จะเกิดโรคไวรัสสายพันธุ์ใหม่ฆ่ามนุษย์ วิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ จนถึงปี 2557 ดาวเคราะห์ขนาดเล็กจะชนกับโลก จนถึงปี 2558 มนุษย์จะตายเพราะทนความร้อนไม่ได้
สำหรับ “อูแรนเดอร์ โอลิเวียร่า” ผู้ซึ่งอ้างว่าเคยได้ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวผู้โด่งดังนั้น ก็อ้างว่าเขามีโทรจิตที่เห็นภาพอนาคตจากการบอกเล่าของมนุษย์ต่างดาว ว่าในปี ค.ศ.2012 นั้น จะมีแสงสว่างมากที่สุดในกาแลกซี่และสะท้อนไปยังดาวเคราะห์ที่โคจรรอบตัว สิ่งมีชีวิตและโลกจะปั่นป่วนอย่างยิ่ง
ด้วยความเชื่อเหล่านี้ บวกกับความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ จึงมีผู้คาดการณ์วันอันน่าระทึกเอาไว้ที่วันที่ 21 เดือน ธันวาคม ค.ศ.2012 นั้นเป็นวันเริ่มต้นกระบวนการดับสูญของโลก หรือ “Doomsday -21/12/12” โดย คาดการณ์ว่าเป็นวันที่พระอาทิตย์จะเดินทางมาอยู่ยังศูนย์กลางของกาแลกซี่ ทำให้โลกดวงเล็กๆ ของเราคลอนโยกเยกและปลิวไปมา กระทั่งอาจจะต้องดับสูญลงไป โดยขณะนี้มีผู้จำลองเหตุการณ์ของ Doomsday แบบมัลติมีเดียไว้ในเวบไซต์ของ YouTube มากกว่า 20 ชุด เช่นวิดีโอด้านล่างนี้ ถูกบรรจุโดยผู้ใช้ชื่อว่า AfroDude เผยแพร่เมื่อเดือนเมษายนของปีนี้
มีผู้อธิบายปรากฏการณ์นี้ในเชิงวิทยาศาสตร์ว่า เกิดจากการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้คอมพิวเตอร์ Hyderabad คำนวณการแลกเปลี่ยนพลังงานที่ขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้สลับตำแหน่งกัน ว่ามีคุณสมบัติแม่เหล็กพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ทุกๆ 11 ปี และจะก่อพลังงานสูงสุดได้ในปี 2012 อย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่นเดียวกับที่เคยเกิดเมื่อหลายล้านปีก่อน
อย่างไรก็ดี มีผู้ออกความเห็นมากมายที่ยังเชื่อว่า ปี 2012 อาจ ไม่ใช่วันสิ้นโลก แต่เป็นเพียงการเริ่มต้นที่จะเห็นโฉมหน้าของโลกใหม่ เรากลับมาที่แผนที่โลกของนายกอร์ดอนอีกครั้ง ซึ่งแผนที่ฉบับนี้ (Future Map Of The World) ได้ระบุเหตุการณ์ไว้มากมาย สรุปที่สำคัญๆ ได้เป็นต้นว่า
ออสเตรเลียจะเสียแผ่นดินไป 25% จากน้ำท่วม, นิวซีแลนด์จะมีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะแผ่นดินเก่าและใหม่จะเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกัน นิวซีแลนด์ห่างไกลจากทะเลมาก แอฟริกาจะถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน แม่น้ำไนส์จะกว้างกว่าเดิมมาก ทะเลแดงจะกว้างออกทำให้ “โคโร” จมหายไปในทะเล เช่นเดียวกับเกาะมาดากัสการ์
จะ มีแผ่นดินเกิดใหม่ในทะเลอาหรับ ทะเลสาปวิคอเรียจะรวมเข้ากับทะเลสาบยาซาไหลสู่มหาสมุทรอินเดีย ส่วนอเมริกาใต้จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ ลุ่มน้ำอะเมซอนจะกลายเป็นทะเลปิดแบบเดียวกับทะเลสาปสงขลา ในแมกซิโกจะเกิดภูเขาไฟระเบิดและแผ่นดินไหวต่อเนื่องยาวนาน 25 ศตวรรษ ส่วนยุโรปตอนเหนือจะจมลงทะเล เหลือแค่เกาะเล็กๆ รัสเซียจะแยกจากยุโรป เกิดทะเลใหญ่ยาวมาก ฝรั่งเศสจะจมน้ำเหลือแต่กรุงปารีส ทางน้ำใหม่จะแยกสวิสเซอร์แลนด์ออกจากฝรั่งเศส และอิตาลี เวนิส เนเปิ้ล รวมถึงโรมจะจมน้ำหายไปในทะเล ฯลฯ
มา ดูฝั่งเอเชียของเรากันบ้าง แผนที่ใหม่นี้ได้บอกว่าแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จะทำให้เกิดน้ำท่วมตั้งแต่ ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ไปจนถึงทะเลแบริ่งซึ่งอยู่ระหว่างอะลาสก้ากับรัสเซีย เกาะญี่ปุ่นจึงจะจมหายไปหมด เหลือไว้แค่ 2-3 เกาะ เท่านั้น ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ และไต้หวันกับเกาหลี ก็จะหายจมไปในทะเล ดังนั้น แนวฝั่งของจีนก็จะร่นเข้าไปในแผ่นดินใหญ่หลายร้อยไมล์ทีเดียว อินโดนีเซียจะถูกทำลาย เช่นเดียวกับฟิลิปินส์ เอเชียจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สูงมากเพราะตั้งอยู่บน 3 ทวีป ส่วนไทยนั้นอยู่บนแผ่นทวีปของ ยูเรเซี่ยน ซึ่งจะเกิดการยกตัวให้สูงขึ้น แผ่นแปซิฟิกจะเคลื่อนไป 9 องศา ดังนั้น บางส่วนจะมุดตัวลง บางส่วนจะยกตัวขึ้น
ผล สรุปการทำนายก็คือ ประเทศไทยจะยังเหลืออยู่บางส่วนตามภาพที่ขยายออกมา ซึ่งคงได้ยินกันมาอยู่บ้างว่า ประเทศไทยจะเหลือมากที่สุดคือภาคเหนือ ส่วนอีสานบางส่วน และภาคใต้จะจมลงไปในทะเลพร้อมกับมาเลเซีย สิงคโปรและอินโดนีเซีย ส่วนชายฝั่งทะเลจะมาอยู่ที่ชัยภูมิ เพรชบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัยและตาก และแม่น้ำโขงจะกลายจากแม่น้ำเป็นทะเล
สำหรับวิดีโอข้างล่างนี้ เป็นมัลติมีเดียการทำนายแผนที่ใหม่ของจีน ซึ่งเผยแพร่ในเว็บไซต์ Youtube โดยผู้ใช้ชื่อ halobed
สำหรับในบ้านเรา คุณหมอประสาน ต่างใจ เคยพูดเอาไว้ในงานเสวนา “พุทธศาสตร์กับอนาคตโลก” ถึงการละลายของน้ำแข็งบนยอดเขา จำนวน 19 ร้อยล้านตันว่าจะใช้เวลาอีกราว 5-7 ปี ซึ่งละลายหมดในปี ค.ศ.2012 เช่นเดียวกันกับปฏิทิน 22 ของชาวเผ่ามายา ได้ทำปฏิทินเอาไว้ที่ 5,000 ปี โดยแต่ละเดือนจะมี 20 วัน โดยเชื่อว่า โลกในวันสุดท้ายคือ 22 ธันวาคม ค.ศ.2012 พระเจ้าของพวกเขาจะปรากฏตัวอีกครั้งนั่นเอง
อ่านจบแล้วอย่าลืมว่า นี่เป็นคำทำนายเท่านั้น ยังไม่มีใครรับรองได้ว่าจะเกิดได้จริงดั่งภาพนิมิตจากนักทำนายเหล่านี้ ในวันที่ 21/12/2012 หรือไม่ มีแต่อนาคตเท่านั้นที่จะบอกได้ครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://blogazine.prachatai.com/user/dinya/post/1349

2012 วันสิ้นโลก



การ ทำนายนั้นอยู่คู่กับสังคมของเรามานาน โดยเฉพาะการทำนายธรรมชาติ เช่นการดูสีของท้องฟ้า ก้อนเมฆ สายลม ดวงดาว แม้กระทั่งการมองเห็นด้วยจิต ที่สามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและธรรมชาติได้ เหมือนที่เคยฮือฮากันไปเมื่อหลายปีก่อน เมื่อนาย กอร์ดอน (Gordon-Michael Scalion) ชาวอเมริกันที่เคยเสียชีวิตเมื่อปี 1979 แต่ กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็อ้างว่า ได้รับพรสวรรค์ที่หยั่งรู้อนาคต เขามักจะเดินทางไปอยู่บนพื้นที่สูงๆ บนภูเขา แล้วมองลงมาเห็นภาพในอนาคต โดยเฉพาะภาพของเมืองที่เปลี่ยนไป และโลกที่จะเกิดขึ้นมาใหม่

มาฆบูชา


ภาพวันมาฆบูชา วันสำคัญทางพุทธศาสนา

วันมาฆบูชา


วันมาฆบูชา มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" เพราะเป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงประทานหลักโอวาทปาฏิโมกข์ อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา แก่พระอรหันตสาวกผู้เป็นเอหิภิกขุทั้ง 1,250 องค์ ที่มาประชุมพร้อมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมายในวันมาฆปุรณมีเป็นอัศจรรย์

บทความนี้ใช้ระบบปีพุทธศักราช เพราะเป็นส่วนหนึ่งของบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ พ.ศ. และ/หรือมีการอ้างอิงไปยังพุทธศตวรรษสำหรับก่อนปี พ.ศ. 2484 นับให้วันที่ 1 เมษายนเป็นวันแรกของปี วันมาฆบูชา (
บาลี: มาฆปูชา; อังกฤษ: Magha Puja) เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของชาวพุทธเถรวาทและวันหยุดราชการในประเทศไทย[1] "มาฆบูชา" ย่อมาจาก "มาฆปูรณมีบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะ ตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย (มักอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หรือเดือนมีนาคม) ถ้าในปีใดมีเดือน อธิกมาส คือมีเดือน 8 สองหน (ปีอธิกมาส) ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 3 หลัง (วันเพ็ญเดือน 4) [2]
วันมาฆบูชา ได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง 1,250 รูปนั้นได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง, พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6, และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4[3][4]
เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลในวันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรมีการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น[5] โดยการประกอบพระราชพิธีคงคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือมีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ มีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น โดยในช่วงแรกพิธีมาฆบูชาคงเป็นการพระราชพิธีภายใน ยังไม่แพร่หลายทั่วไป จนต่อมาความนิยมจัดพิธีมาฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร
ปัจจุบันวันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย
[1] โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์[6] พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์[7] ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล
นอกจากนี้ ในปี
พ.ศ. 2549 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันมาฆบูชา ให้เป็น "วันกตัญญูแห่งชาติ" เนื่องจากปัจจุบันสังคมไทยวัยรุ่นสาวมักจะเสียตัวในวันวาเลนไทน์หลายหน่วยงานจึงพยายามรณรงค์ให้วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรัก (อันบริสุทธิ์) แทน

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประวัติวันวาเลนไทน์

ประวัติวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรัก
กุมภาพันธ์เป็นเดือนที่อบอวลไปด้วยความสุขการแสดงถึงความรัก ความห่วงใยถึงคนที่ เราปรารถนาดีและอยากให้เขามีความสุข และเป็นที่รับรู้กันทั่วโลกว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันแห่งความรักหรือ Valentine’s Day และวันนี้ยังมีคิวปิด หรือกามเทพ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของ วันวาเลนไทน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คิวปิดเป็นบุตรของวีนัสและมาร์ส แต่ ชาวกรีกเรียกคิวปิดว่า อีรอส ภาพของ คิวปิดที่มนุษย์โลกปัจจุบันได้รู้จักก็คือภาพเด็กน้อยที่ถือคันธนูและลูกศร มีหน้าที่ยิงศรรักให้ปักใจคน ปัจจุบัน คิวปิดและธนูของเขากลายมาเป็น เครื่องหมายแห่งความรักที่เป็นที่รู้จัก มากที่สุด และความรักของเขามีกล่าวถึงบ่อยในภาพของ การยิงศรรัก ระหว่าง หัวใจสองดวงให้รักกัน เรียกกันว่า ศรรักคิวปิด เราจึงมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยว กับประวัติความเป็นมาและความสำคัญ ของวันนี้กันค่ะ
เทศกาลวาเลนไทน์ เริ่มมีขึ้น ตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุดเพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโนผู้เป็น จักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจาก นี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่ง อิสตรีเพศและการแต่งงานและในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาล เฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การ ดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะ ถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่ง กรุงโรม พระองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่มี ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การ ทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและ แต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็น ความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine” . วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูก เก็บไว้ที่โบสถ์ พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุม ศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็น ที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มา จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้อง หลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะ เป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคง แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความ กล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมาย ของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลอง เทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
วาเลนไทน์ ในแต่ละประเทศจะมีประเพณีหรือการ ปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมแล้ว จะมีการเฉลิมฉลองและเป็นการแสดงถึง ความรักที่มีระหว่างกัน ต่อมาเมื่อความ เจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทางด้าน การพิมพ์เข้ามาเกี่ยวข้องมีการพิมพ์บัตร อวยพรโดยเข้ามาแทนที่จดหมายที่ เขียนด้วยลายมือ และปัจจุบันก็มีการส่ง บัตรอวยพรทางออนไลน์เพื่อแสดงถึงความ ก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วย ให้คนที่ต้องการแสดงความรักความห่วงใย ถึงคนที่รักได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ประวัติ วันวาเลนไทน์นี้ เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา จนถึงปัจจุบัน เท่าที่ค้นหามาได้นี้เป็นเพียง หนึ่งในหลายๆเรื่องเท่านั้น แต่ไม่ว่าประวัติ ที่แท้จริง จะเป็นอย่างไรก็ตาม ใน ปัจจุบัน นี้เราได้ถือว่าวันวาเลนไทน์เป็น วันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยที เดียว คุณสามารถส่งดอกไม้ ขนมและ การ์ด เพื่อบอกความนัยให้แก่คนพิเศษ ของคุณ วันนี้จะเป็นวันที่เราส่งความรู้สึก ดีๆให้แก่กัน...

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ดวงราศีกุมภ์

ราศีกุมภ์(Aquarius)เกิด 20 มกราคม – 18 กุมภาพันธ์

พยากรณ์ระหว่างวันที่ 1-28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 การงาน : มีโอกาสในการปิดงานใหญ่หรือโครงการใหญ่ได้อย่างด ีและสำเร็จได้ไม่ยากจากการช่วยเหลือของทีมงาน แต่การแก้ไขงานเก่าๆจะมีมาอย่างไม่น่าเชื่อและควรให้คนอื่นทำมากกว่าเสนอตัวมารับเอง การเงิน : รายรับช่วงนี้จะค่อนข้างทรงตัวอย่างมากและไม่น่ามีปัญหาเรื่องการผ่อนบ้านหรือการหยิบยืมการเงินจากสหายหรือหุ้นส่วน ความรัก : คนโสดมีโอกาสที่จะอารมณ์ไม่ดีจากเรื่องการงานหนักใส่คนที่เราจีบทำให้หายไป ส่วนคนที่มีแฟนแล้วรักอย่างดีและเข้าใจอาจจะลงทุนด้านธุรกิจของกินหรือความงามด้วยกัน

It.me

It.me
Sasiwimon Jitkuson